Image Alt

ประวัติผู้ก่อตั้ง

About

พลเอก สัมผัส พาสนยงภิญโญ

ผู้ก่อตั้ง ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2467 คือปีเกิดของ พล.อ.สัมผัส พาสนยงภิญโญ เป็นเด็กที่มีความชุกชนและเฉลียว ฉลาด การเรียนหนังสืออยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยตลอดเป็นที่รักของบิดามารดา ญาติผู้ใหญ่และน้อง ๆ เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณตาของ ทํานรักท่านประดุจแก้วตา ยามว่างท่านจะไปนั่งฟังคุณตาเล่านิทาน ตํานานต่าง ๆ อย่างเพลิดเพลิน เมื่อเวลาวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ท่านจะ ออกไปท่องเที่ยวตามสวนผลไม้หลังบ้านชมนกชมไม้กับเพื่อนเล่นเด็ก ด้วยกันละแวกนั้น ตามประสาเด็กผู้ชาย และในบางครั้ง ความซุกซนใน วัยเด็กทําให้ไปเที่ยวไกลจากบ้านเกินควร เช่น ไปแข่งกับเพื่อนในองค์พระปฐมเจดีย์ เพื่อนบางคนปืนขึ้นไปได้แต่ลงไม่ได้จนถูกคุณแม่ของท่านตามไปจับตัวกลับมาและเตรียมลงโทษด้วยการดี แต่ก็ถูกคุณตาเข้าขัดขวางเพราะความรักหลาน แม้คุณตาจะตามใจและเข้าข้างมาตลอด แต่ท่านก็ไม่ได้เสียเด็กแต่อย่างไรคงเรียนดีมาโดยตลอดและเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอ ท่านเป็นพี่คนโตที่น้อง ๆ ให้ความเคารพนับถือเนื่องจากท่านมีความรักน้อง ๆ และมีความเสียสละมาตั้งแต่เด็ก ครั้งหนึ่งท่านและน้องกับเพื่อนละแวกนั้น เล่นกันอยู่กลางลานบ้านมีสุนัขตัวหนึ่งวิ่งไล่กัดคนมาเรื่อย ๆ จนถึงลานหน้าบ้านที่ท่านและเพื่อนเล่นกันอยู่ เด็กทั้งหมดแตกฮือวิ่งหนีหมาบ้าตัวนั้นรวมทั้งท่านด้วย แต่น้องคนหนึ่งของท่านนั่งร้องไห้จ้าด้วยความตกใจกลัว ไม่ลุกขึ้นวิ่งหนีขณะที่หมาบ้าตัว นั้นวิ่งตรงเข้าไปใกล้น้องของท่านทุกที ท่านจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปอุ้มน้องของท่าน วิ่งหนีออกมาอย่างหวุดหวิดจนเกือบจะถูกหมาบ้ากัด นับได้ว่าท่านเป็นเด็กที่มีความกล้าหาญ เสียสละ และรักน้องอย่างที่สุด

 

ในวัยหนุ่มท่านชอบเล่นบิลเลียดมาก เคยแข่งขันในระดับกองพล กรม และกองพัน จนได้ถ้วยรางวัลมากมาย วันสุดสัปดาห์ท่านชอบพาภรรยาและลูก ๆ ไป ท่องเที่ยวต่างจังหวัด เช่น จ.เชียงใหม่ ชมโบราณสถานในที่ต่างๆ ไปไหว้พระบรมธาตุดอยสุเทพ ฯ ไป จ.กาญจนบุรี บางแสน เขาใหญ่ ฯลฯ ทุก ครั้งที่ผ่านสถานที่สําคัญหรือที่เป็นประวัติศาสตร์ของชาติ ท่านก็จะเล่าให้ลูก ๆ ฟัง ทำให้ลูก ๆ ได้มีความรู้ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย และ ความสนุกสนานเพลิดเพลินไปในตัว ท่านชอบเล่นกับลูก ๆ ชอบให้ลูก ๆ มีนิสัยรักการอ่านหนังสือ เมื่อใดที่ลูก ๆ มีข้อสงสัยติดขัดในเรื่องใด ไม่ว่า จะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ หรือตํานานโบราณ ตลอดจนเรื่องพุทธศาสนา ท่านก็จะช่วยอธิบายให้เกิดความเข้าใจ

 

ท่านเป็นผู้ที่มีความรักชาติ อย่างมาก ท่านจะพูดถึงวีรบุรุษไทยในยุคก่อน ๆ อย่างชื่นชมบูชา ท่านรักบูชาสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ทรงกอบกู้ประเทศชาติ ท่านกล่าวถึงวีรกษัตริย์ไทยหลายพระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์ล้วนกอบกู้ชาติบ้านเมือง ให้พ้นจากการย่ำยีของข้าศึก และยังเคยปรารภบ่อย ๆ ว่าท่านอยากจะไปเกิดในสมัยนั้น ท่านจะเป็นทหารของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และจะได้ไปรบกับข้าศึกด้วย ท่านอบรมลูก ๆ และคนใกล้ชิดเสมอว่าให้ทำงานเพื่อประเทศชาติ อย่าทำงานเพราะเห็นแก่ ยศ ชั้น หรือตำแหน่งใด ๆ

 

หลังเกษียณอายุ ท่านได้ทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับการรักษาคนเจ็บป่วย ที่ส่วนมากรักษาแผนปัจจุบันไม่หาย ท่านเปิดร้านยา ” สมุนไพรเทียนซาน ” ขึ้น ความรู้เรื่องยาสมุนไพรและยาจีนของท่านนั้นแตกฉานอย่างน่าประหลาดใจ ท่านศึกษาเกี่ยวกับสรีรวิทยาของ มนุษย์จากตําราแพทย์ ปัจจุบันและตําราจีน ศึกษาค้นคว้าอย่างเอาจริงเอาจัง เอาตัวเองเข้าทดลอง ปรับสูตรยาจนได้ผลเป็นที่พอใจ แพทย์ปริญญาสมัยใหม่หลายท่านที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ราวกับว่าท่านได้เรียนจบแพทย์มาเช่นกัน คนป่วยหลายคนที่รักษาไม่หาย หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน 2 – 3 เดือน ท่านก็ได้ให้การรักษาจนรอดชีวิตอยู่มาได้จนถึงบัดนี้ โรคที่ยาปัจจุบันยังรักษาไม่ได้ผล บางโรคท่านก็รักษาหาย ท่านเชี่ยวชาญในการรักษาโรคต่าง ๆ เป็นอย่างมาก จนมีการบอกกล่าวกันในหมู่คนไข้ ทำให้มีคนไข้มา รักษากันเกือบทั้งวัน จนต้องแบ่งเวลารักษาคนไข้และเวลาพักผ่อนเช่นกัน ในการรักษาคนไข้นั้นท่านทําด้วยใจรัก และต้องการช่วยเหลืออย่างจริงใจ จะเห็นได้ว่าท่านต้องจ่ายเงินเป็นค่าตัวยาเดือนหนึ่งมากมาย คนจน พระภิกษุ สามเณร แม่ชี ท่านรักษาฟรี บางครั้งยังต้องแถมเงินให้คนจน เป็นค่ารถที่เดินทางมารักษากับท่าน และมอบเงินเพื่อไว้เป็นค่ารถเพื่อรับยาในครั้งต่อไปอีกด้วย สําหรับคนมีฐานะท่านรักษาท่านก็คิดราคาตามสมควร ไม่ได้หวังผลกําไรแต่อย่างไร สรุปแล้วท่านรักษาคนไข้ ท่านไม่ได้รับผลประโยชน์ทางด้านการเงินเลย นอกจากขาดทุนทุกเดือน แต่เป็นสิ่งที่น่าพอใจและมีความสุขหากคนไข้คนใดหายเจ็บป่วย ท่านก็จะดีใจมีความสุข หากคนใดยัง ทรง ๆ ทรุด ๆ อยู่ ท่านก็จะหมกมุ่นกังวล ครุ่นคิดหาวิธีรักษา เปลี่ยนยาค้นคว้าวิธีรักษาจนคนไข้อาการดีขึ้น

 

ท่านรักและห่วงใยคนไข้ที่มาหาท่าน ราวกับทุกคนเป็นญาติและท่านก็เป็นผู้มีเหตุมีผล หากใครที่ท่านรักษาไม่ได้ ท่านก็จะบอกตรง ๆ ว่า ท่านรักษาไม่ได้ รักษาไปก็ไม่หาย ไม่เคยดื้อดึงหรือหลอกลวงใคร ท่านพูดอยู่เสมอว่า หากท่านต้องเสียชีวิตจะมีโรคๆ เดียวที่คร่าชีวิตของท่านได้คือ โรคหัวใจวายเฉียบพลัน เพราะท่านรักษาคนไข้มาอย่างเชี่ยวชาญจนทราบว่า โรคอื่นทําร้ายท่านไม่ได้นอกจากโรคนี้เท่านั้น ยามว่างท่านจะทําบุญสุนทาน นิมนต์พระ ถวายสังฆทาน มิได้ขาด ท่านนับถือเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ท่านศึกษาธรรมะด้วยศรัทธาและเชื่อมั่น ท่านเชื่อในเรื่องผลบุญ กรรมดี กรรมชั่ว และเคยปรารภอยู่เสมอว่าท่านโชคดียิ่งนักที่เกิดมาใต้ร่มเงาของศาสนาพุทธ ท่านจะพยายามฝึกฝนตนเองให้เข้าถึงธรรมะที่แท้จริงให้ได้ แต่จะได้มากน้อยสักเพียงใด ก็สุดแล้วแต่บุญกุศลที่ทํามา ยามได้พูดคุยเรื่องธรรมะ ท่านก็จะมีความสุข และให้คติสอนใจได้อย่างลึกซึ้ง

 

ท่านเป็นสมถะและรักสันโดษ ที่ใดมีงานรื่นเริงผู้คนมากมา ท่านก็จะพยายามปลีกตัว ท่านชอบอยู่กับธรรมชาติ ชอบดูเขาป่าไม้และน้ำตก ชอบฟังเสียงนกร้อง ท่านรักสัตว์ป่าเกือบทุกชนิด และชอบศึกษาเรียนรู้ชีวิตของสัตว์ป่า ท่านเคยพูดเสมอว่า อยากจะไปอยู่ป่าอยู่ถ้ำ บําเพ็ญศีลภาวนา แต่ยังตัดใจจากบุตรและภรรยาไม่ได้เพราะความเป็นห่วง ดังเช่นที่ท่านได้เขียนไว้ในหนังสือ “ สมุนไพรเทียนชาน ” ว่า… “ พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสสอนไว้ว่าอันเครื่องพันธนาการต่างๆ ที่ใช้ผูกมัดร่างกาย ของมนุษย์หรือสัตว์นั้นถ้าจะแก้ออกแล้วก็สามารถแก้ออกได้โดยง่าย แต่มีเครื่องพันธนาการอีกอย่างหนึ่งผูกมัดจิตใจคนไว้อย่างแน่นหนาอันได้แก่ ทรัพย์สมบัติ – บุตร – ภรรยา หรือสามี ไม่ว่า จะไปห่างไกลสักแค่ไหน ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการนั้นได้ จะมีความคิดคํานึง ห่วงใยวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา บุคคลใดทรงปัญญาก็จะสลัดเครื่องผูกพันเหล่านี้ออก แล้วเข้าบรรพชาในพระธรรมวินัยนี้ ทําให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ บุคคลใดไร้ปัญญา ก็จะต้องทนให้เครื่องพันธนาการเหล่านั้นผูกมัดจิตใจอยู่ตลอดไปชั่วกาลนาน…”

 

ท่านกล่าวว่า ยังทําตามพระธรรมคําสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะขาดปัญญา และปัญญาในพระพุทธศาสนานั้นไม่เหมือนคําว่าปัญญาในทัศนะทั่ว ๆ ไปของสังคมทุกวันนี้ มีความหมายละเอียดปราณีตกว่ามาก ต้องมีศีล มีสมาธิก่อนแล้วถึงจะมีปัญญาได้ ท่านว่าศีลนั้นพอรักษาได้ไม่ยาก แต่ถ้ามี สมาชิไม่ถึงระดับฌาน ปัญญาก็ไม่เกิด ปัญญาที่เรารู้จักกันทุกวันนี้เป็นปัญญาทางธรรมะ ซึ่งคนธรรมดาที่ไม่ได้ฌานจะคิดไม่ออก ท่านว่าตัวท่านเองก็คิดไม่ออก จึงยังมีความห่วงใยในบุตรและภรรยาอยู่เสมอ ท่านชื่นชมและบูชาพระอริยบุคคลที่มีปฏิปทางดงาม และจะอนุโมทนาร่วมทําบุญทํากุศลทุกครั้งที่มีผู้บอกบุญ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง ท่านชอบอ่านหนังสือธรรมะ หนังสือตําราวิชาการแพทย์ทั้งแผนใหม่และแผนโบราณ บางครั้งท่านก็ชอบอ่านหนังสือนิยายจีนกําลังภายใน ท่านจะเล่าเรื่องจีนกําลังภายในให้ลูกฟังอย่างสนุกสนานมีรสชาติ จะว่าไปแล้วท่านเป็นที่มีพรสวรรค์ในการเล่านิทาน ตํานาน หรือเรื่องราวต่าง ๆ มาก เพราะผู้ฟัง ฟัง แล้วสนุกสนาน ติดใจนอกจากนี้ท่านยังมีความจําแม่นย่าจําได้หมดแม้ในรายละเอียดปลีกย่อย

 

ท่านชอบเขียนหนังสือ มักใช้เวลาว่านั่งเขียนหนังสือคนเดียวเงียบๆ มีกลอนบทหนึ่งที่ท่านชอบมาก เขียนไว้ด้านปกหลังของหนังสือตํารายาสมุนไพรเทียนซาน คือ เหนือคนมีคนยิ่งใหญ่กว่า เหนือฟ้ามีฟ้ามหาศาล เหนือทะเลมีสมุทรสุดโอฬาร คนคิดการณ์ไม่สู้ฟ้าลิขิตกรรม เหนือยามียาพิสดาร จะพบพานเมื่อสิ้นกรรมที่ทํามา และ คนคํานวณไม่สู้ลิขิตของฟ้า เทวดารักษาก็ยังแพ้ลิขิตของกรรม

 

ท่านถึงแก่กรรมอย่างสงบ เมื่อวันที่ 3 เม.ย.37 เวลา 0845 โดยไม่มีอาการทุรนทุรายหรือทุกข์ทรมานเลย ขณะนั่งรถไปโรงพยาบาล ท่านพูดกับคุณยุพินผู้เป็นภริยาว่า ท่านแน่นหน้าอกหายใจไม่ค่อยออก แล้วก็นั่งหลับตานิ่งเฉย จนถึงโรงพยาบาลเปาโล หลังจากถูกนําเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู และดําเนินกรรมวิธีช่วยเหลือรักษาในทางการแพทย์สักครู่ ท่านก็ถึงแก่กรรม แม้ว่าท่านจะจากไปแล้ว แต่คุณงามความดี ความรัก ห่วงใย และคําอบรมสั่งสอนของท่าน ก็จะยังคงประทับใจอยู่ในความทรงจําของผู้ได้รับอย่างไม่มีวันลืมเลือนไปได้ในชั่วชีวิตนี้ และผลแห่งบุญกุศลที่ท่านได้กระทํามาตลอดชีวิต จึงขออาราธนาอัญเชิญบารมีของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลกและจักรวาล โปรดดล บันดาลให้ดวงวิญญาณของท่านสถิตอยู่ ณ สุขคติภพที่มีแต่ความสงบสุข ร่มเย็น ห่างไกลจากภยันตรายและความทุกข์ใดๆ ทั้งปวง เพื่อท่าน จะได้บําเพ็ญสมาธิไปในทิศทางแห่งธรรมะที่ท่านปรารถนา และเมื่อมใสตราบชั่วนิจนิรันดร

 

ประวัติการศึกษา

พลเอกสัมผัส ฯ ท่านได้เข้ารับการศึกษาในชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดเสน่หา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมที่โรงเรียนประจําจังหวัด พระปฐมวิทยาลัย แล้วมาศึกษาต่อที่โรงเรียนอํานวยศิลป์ จากนั้นจึงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเตรียมนายร้อย รุ่นที่ 4 เลขประจําตัว 450 และ โรงเรียนเทคนิคทหารบก รุ่น 10 จนจบการศึกษา มีลําดับเป็นที่ 2 ในจํานวนนักเรียนประเภท ก. 38 นาย

ได้รับประกาศนียบัตรและวุฒิบัตรต่างๆ คือ

เมื่อ 1 มี.ค.2491 ปริญญาตรี วทบ.ทบ. จากโรงเรียนนายร้อยทหารบก

เมื่อ ก.ค. 2495 ประกาศนียบัตรการศึกษาหลักสูตรผู้บังคับกองร้อย รุ่นที่ 2 จากโรงเรียนทหารปืนใหญ่

เมื่อ เม.ย. 2497 ประกาศนียบัตรหลักสูตรเสนาธิการชุดที่ 34 จากโรงเรียนเสนาธิการทหารบก

เมื่อ พ.ศ.2512 ประกาศนียบัตรหลักสูตรเร่งรัด ชุดที่ 11 จากวิทยาลัยการทัพบก

เมื่อ มี.ค. 2493 วุฒิบัตรอบรมการรบในป่า จากกรมจเรทหารม้า (ศูนย์การทหารม้า กรมยุทธศึกษาทหารบก )

เมื่อ มี.ค. 2503 วุฒิบัตรอบรมหลักสูตร อาวุธปรมาณู รุ่นที่ 3 จากโรงเรียนทหารปืนใหญ่ ศูนย์การทหารปืนใหญ่

เมื่อ พ.ศ. 2505 วุฒิบัตรอบรมหลักสูตรการรบพิเศษชั้นผู้บังคับหน่วยและฝ่ายอํานวยการรุ่นที่ 1 จาก กองอํานวยการฝึกการรบพิเศษ

 

ประวัติรับราชการ

พ.ค. 2491 ดํารงตําแหน่ง ผู้บังคับหมวดทหารปืนใหญ่ กองพันที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์

พ.ย. 2494 ดํารงตําแหน่ง ผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ กองพันที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์

ต.ค. 2496 ดํารงตําแหน่ง นายทหารยุทธการและการฝึกและรักษาราชการผู้บังคับกองร้อยทหารปืนใหญ่ กองพันที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์

พ.ค. 2499 ดํารงตําแหน่งนายทหารยุทธการและการฝึก กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ พ.ศ. 2501 ดํารงตําแหน่ง รองผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์

ส.ค. 2504 ดํารงตําแหน่ง ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์

ม.ค. 2511 ดํารงตําแหน่ง ผู้บังคับทหารปืนใหญ่กองพล กองพลอาสาสมัคร ผลัดที่ 1 ส่วนที่ 1 (ร่วมรบในประเทศเวียดนาม)

ส.ค. 2512 ดํารงตําแหน่ง ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ เม.ย. 2517 ดํารงตําแหน่ง ผู้บัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่

ต.ค. 2522 ดํารงตําแหน่ง ผู้บัญชาการศูนย์อํานวยการสร้างอาวุธกองทัพบก

ต.ค. 2527 ดํารงตําแหน่ง ประจําสํานักผู้บัญชาการทหารสูงสุด ปฏิบัติหน้าที่ที่ปรึกษาศูนย์อํานวยการสร้างอาวุธกองทัพบก ตําแหน่งพิเศษที่ได้รับแต่งตั้ง ราชองค์รักษ์เวร ราชองค์รักษ์พิเศษกรรมการผู้บริหาร ผู้แทนรัฐบาล สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภา นิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ

 

รางวัลและเกียรติยศที่ได้รับ

– คำสั่งกองทัพบก ที่ 3/2383 ลง 7 ก.พ. 2495 ประกาศชมเชยคุณงามความดี

– แจ้งความกองทัพบก เรื่อง ชมเชย พันเอกสัมผัส พาสนยงภิญโญ ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ เมื่อ ก.ย. 2514

– Legion of Merit จาก The President of The United State of America เมื่อ พ.ศ. 2512

– ปริญญากิตติมศักดิ์ดุษฎีบัณฑิตสาขาวิศวกรรมเครื่องกล จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมกล้าวิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อ พ.ศ. 2523

– ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเข็มศิลปวิทยา เมื่อ พ.ศ. 2527

ความมุ่งมั่นในการทํางาน พลเอก สัมผัส พาสนยงภิญโญ ได้สําเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก เมื่อ 1 มีนาคม 2491 และได้รับพระราชทานยศ เป็นว่าที่ร้อยตรี ในตําแหน่งผู้บังคับหมวดทหารปืนใหญ่ที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ ท่านได้รับราชการอยู่ที่หน่วยนี้ มาโดยตลอด จนเป็นผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2512 ผลงานของท่านในระหว่างที่รับราชการอยู่ ในกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 และกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ จึงมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาการฝึก และการศึกษา ซึ่งหน่วยต่าง ๆ ได้นําแบบที่ท่านได้คิดและประดิษฐ์ขึ้นมานําไปใช้ที่หน่วยของตนเองจนถึงปัจจุบัน คือ

ประดิษฐ์อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ของทหารปืนใหญ่ สําหรับอํานวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยในการฝึกและยังนําไปใช้ในการรบและปราบปราม ผกศ. ซึ่งเรายังคงเห็นและได้ใช้อยู่ในปัจจุบันแต่บางท่านยังไม่ทราบว่า ผู้ใดเป็นผู้คิดหรือผู้สร้างสิ่งอํานวยความสะดวกชนิดนี้ขึ้นมา เช่นการจัดทําล็อคปืน (ทางทิศ ทาง สูง) สําหรับ ปบด. 105 มม. เอ็ม 101 เอ 1 เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการยิง ป. ด้วยกระสุนจริง จัดทําเบ้าไฟบังคับด้วยเวลาสําหรับใช้ฝึกยิง ป. ในเวลากลางคืน จัดทําโต๊ะทรายพร้อมอุปกรณ์สําหรับใช้ฝึก ผตน เพื่อให้เกิดความชํานาญ และความรวดเร็ว เห็นภาพที่เหมือนจริงทุกประการ ประดิษฐ์ถาดรองปืน ปบอ.105 มม. เอ็ม 101 เอ 1 เพื่อให้เกิดความสะดวกในการย้ายยิง ป. และการยิงรอบตัว จัดทําและดัดแปลงเครื่องมือศูนย์อํานวยการยิงและผู้ตรวจการณ์หน้า ให้ได้ผลและความสะดวกขึ้นเพียงพอถึงระดับการแยก มว.ป. (แผ่นพัดวัดระยะทิศและแผ่นพัดตารางยิ่ง บรรทัดมุมพื้นที่ยิง แผ่นพัดตรวจการณ์ พิกัดฉาก ฯลฯ) สร้างความสะดวกในการปรับและเฝ้าฝังข่าว

 

การสร้างสนามยิงปืนใหญ่

– เมื่อปี พ.ศ.2509 ได้ทําการสํารวจสร้างสนามยิงปืนใหญ่ และสนามบินกึ่งถาวร (ฮ. และ บต.แอล 19) บริเวณ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี โดยจัดตั้ง กองบังคับการสนามยิงปืนใหญ่ ป.1 รอ. บริเวณ บ.หลุมหิน มีอาคารที่พักของกําลังพล และแหล่งน้ำสามารถใช้ทำการฝึกได้ตลอดปี ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้ทําการ ฝึกอยู่และเสริมเหล็ก สําหรับทําการสอน และทําความคุ้นเคยให้กับ ผู้ตรวจการณ์หน้าในการฝึกการตรวจการณ์ของตำบลกระสุนตก และการระเบิดของกระสุน เหนือ ศีรษะของผู้ตรวจการณ์ จากการที่ท่านเป็นบุคคลที่มีความรอบรู้เป็นอย่างยิ่งและมีประสบการณ์จากการฝึกมามาก พอสมควร จึงได้ทําเอกสาร ประกอบการฝึกและเป็น คู่มือของเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ ไว้มากมายคือ

– รปจ.ป.1 รอ. ซึ่งหน่วยต่าง ๆ ได้ถือเป็นแม่บทในการจัดทํา รปจ.ของหน่วย

– คู่มือราชการสนามเรื่อง กองร้อยและกองพัน ป. สนาม ในสงครามตามแบบและนอกแบบ

– คู่มือราชการสนามเรื่อง นตต.ป. ในสงครามตามแบบและนอกแบบ

– คู่มือราชการสนามเรื่อง ผตน.ป. แบบสังเขปอย่างย่อสําหรับทหารต่างเหล่า ในสงครามตามแบบและนอกแบบ การฝึกและการปฏิบัติในสนาม

ในขณะที่ท่านดํารงตําแหน่ง ผบ.ป.1 รอ. ท่านได้ดําเนินการให้มีการเปิดการฝึกอบรมทั้งทางทฤษฎี และทางปฏิบัติให้กับกําลังพลทั้งในหน่วยและ นขต. ตลอดจนทหารต่างเหล่าเกือบตลอดปี ในเรื่องการปรับการยิง, ศูนย์อำนวยการยิง, แผนที่เพื่อให้กําลังพลได้มีความรู้ความสามารถ และเกิดความมั่นใจตลอดเวลา และยังได้ทำการประดิษฐ์เครื่องยึดตรึง เพื่อขนย้ายปืนใหญ่ขนาด 105 มม. และทําการฝึกการยกหิ้วปืนใหญ่ขนาด 105 มม. และทําการฝึกการยกหิ้วในทางอากาศ เนื่องจากในขณะนั้น ทางหน่วยได้รับภารกิจปราบปราม ผกค. ในพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง สภาพภูมิประเทศเป็นพื้นที่ป่าและภูเขาสูง ทําให้การเคลื่อนย้ายด้วยยานยนต์ไม่สามารถกระทําได้ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความคล่องแคล่วรวดเร็วในการปฏิบัติ จึงจําเป็นที่ต้องทําการเคลื่อนย้ายทางอากาศ โดยทําการ ถอดชิ้นส่วนของ ปบค. ขนาด 105 มม. แล้วใช้ ฮท.1 หิ้วชิ้นส่วน ป. ไปยังที่ตั้งยิง ผลงานของท่านในระหว่างที่รับราชการอยู่ในหน่วยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ และกรมทหารปืนใหญ่ที่ 1รักษาพระองค์ นี้ได้มีประกาศชมเชยจากกองทัพบกถึง 2 ครั้ง คือ การออกแบบโรงฝึกยิงปืนใหญ่ประจํากองพัน และการประดิษฐ์เครื่องยึดตรึงเพื่อขนย้ายปืนใหญ่ขนาด 105 มม. โดยอาศัยเฮลิคอปเตอร์ แบบ ฮท.1 ในช่วงที่ท่านดํารงตําแหน่ง ผู้บัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ และผู้บัญชาการศูนย์อํานวยการสร้างอาวุธกองทัพบก ท่านได้ทุ่มเทกําลังกาย, กําลังใจและ, กําลังสติปัญญา และความสุขส่วนตัว ในการพัฒนาการเหล่าทหารปืนใหญ่ และทําคุณประโยชน์ให้แก่กองทัพบกและประเทศชาติไว้เป็นอันมาก ซึ่งผลงานคือ

 

 

การพัฒนาปรับปรุง ดัดแปลงปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้งขนาด 105 มม. (BoFors)

ให้ใช้กระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 มม. ของสหรัฐ และนําเข้าประจําการในกองทัพบกเมื่อ พ.ศ. 2518การสร้างปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้งขนาด 105 มม. แบบเข็ม 618 เอ 2 ซึ่งการสร้างนี้เกิดมาจาก เมื่อครั้งที่ พลเอก สัมผัส พาสนยงภิญโญ ดำรงตำแหน่ง ผบ.ศป. ในปี 2518 ทบ. ต้องประสบกับปัญหาขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์ และกระสุนวัตถุระเบิดเป็นอย่างมาก ทั้งนี้มีผลมาจากการงดการช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา และมีแนวโน้มว่าจะระงับการให้ความช่วยเหลือในโอกาสต่อไปภายหน้า แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทบ. ต้องพยายามดํารงความเข้มแข็งเอาไว้ เพื่อเผชิญหน้ากับข้าศึกศัตรูที่มองเห็นอยู่ในขณะนั้นอย่างชัดแจ้งทั้ง ผกค. และกำลังทหารของเวียดนามเหนือ ผู้ให้การสนับสนุนทางด้านสมรรถภาพของเหล่าทหารปืนใหญ่ ก็จะต้องจํากัดลง เนื่องจากมีอาวุธปืนใหญ่ไม่เพียงพอแก่การขยายอำนาจกําลังรบ ประกอบกับเกิดความขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ทุกชนิด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของกองทัพบกอีกประการหนึ่ง ท่านจึงได้พยายามหาหนทางที่จะดำรงสมรรถภาพของเหล่าทหารปืนใหญ่ไว้ให้ดีที่สุด จึงมีแนวความคิดที่จะสร้างขึ้นปืนใหญ่เบาขนาด 105 มม. ขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ โดยลำพังตลอดมา ด้วยความคิดและสติปัญญาเท่าที่จะสามารถจะกระทําได้ แม้แนวความคิดบางประการเกือบจะเป็นเรื่องที่ผู้อื่นเห็นว่าเป็นเรื่องของความเพ้อฝันหรือมีสติสัมปชัญญะไม่ค่อยสมบูรณ์นักก็ตาม ซึ่งหน่วยเหนืออาจจะไม่เห็นด้วยและคิดว่าเป็นสิ่งที่เหลือวิสัยที่จะกระทำได้ก็ตาม ถึงแม้ท่านเองยังไม่แน่ใจนักแต่ก็ได้พยายามทดลองกระทำดู เมื่อแน่ใจแล้วว่ามีหนทางที่เป็นไปได้ จึงได้เปิดงานการวิจัยพัฒนาปืนใหญ่เบาขนาด 105 มม. ตั้งแต่ปี 2518 เป็นต้นมา ซึ่งได้ประสบความสำเร็จในการวิจัยพัฒนาและทดลองมาตามลำดับ จนถึงขั้นได้ต้นแบบปืนใหญ่ขนาด 105 มม. แบบเอ็ม 618 ได้ทดลองและปรับปรุง แก้ไขตามลำดับจนถึงขั้น ทบ. ยอมรับให้เป็นอาวุธมาตรฐาน นําไปใช้ในราชการ ทบ. ได้โดยกำหนดรหัสของปืนที่นําเข้าประจําการว่า ปบค. ขนาด 105 มม. แบบ M 618 A 2 ซึ่งเป็นชนิดที่สามารถใช้ร่วมกับ ปบค.ขนาด 105 มม. ของสหรัฐที่มีอยู่เดิมได้ เนื่องจากได้ออกแบบให้ใช้กระสุนชนิดเดียวกันกับ ปบค. 105 มม. แบบ M 101 A 1 ของสหรัฐ ฯ ระยะเวลาในการวิจัยพัฒนาจนได้รับความสำเร็จนั้น ใช้เวลา 2 ปี 9 เดือน จากผลความสำเร็จของท่านในครั้งนี้ ทำให้มีประโยชน์ต่อประเทศชาติหลาย ประการคือ กองทัพบกมีปืนใหญ่เข้าประจําการได้โดยรวดเร็ว เพราะสามารถผลิตได้ภายในประเทศ และราคาถูกกว่าการจัดซื้อจากต่างประเทศมาก ทำให้ประหยัดเงินงบประมาณของแผ่นดินได้เป็นจำนวนมาก ในขณะนั้นได้นําเอา ปบค. ขนาด 105 มม. แบบ M. 618 A 2 เข้าประจําการที่ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 30 และ กองพัน ทหารปืนใหญ่ที่ 25 ปัจจุบันได้เข้าประจําการอยู่ที่ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ 9 และกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 19

 

การสร้าง ค. 60 มม. และ ค.81 มม.

เมื่อปลายปี 2520 ขณะที่ท่านดำรงตำแหน่ง ผบ.ศป. ได้พิจารณาเห็นว่า ค.60 และ ค.81 ซึ่งเป็นอาวุธที่สนับสนุนการยิงโดยใกล้ชิดของทหารราบ อยู่ในสภาพที่หลวมคลอนการยิงไม่แม่นยำเพราะใช้ราชการมานาน คือ ค.60 มม. นําเข้าประจําการเมื่อปี 2488 ค.81 มม. นําเข้าประจําการเมื่อปี 2493 ซึ่งใช้งานมาแล้วเกือบ 30 ปี ท่านได้พิจารณาแล้วว่าการสร้างไม่ยุ่งยากและสลับซับซ้อน แต่อย่างใด จึงได้ตกลงใจเปิดงานวิจัยพัฒนา ค.60 มม. และ ค.81 มม. ขึ้นมาดำเนินการโดยสร้างตามมาตรฐาน เป็นอาวุธที่มีลำกล้องยิงที่ละนัด ทำการยิงโดยใช้มุมสูง โดยเริ่มทดลองสร้างต้นแบบเมื่อ พ.ย. 2520 ดำเนินการ ทดลองยิงได้ผลที่ส่งเข้าสู่สายการผลิตโดยโรงงานสร้างขึ้นใหญ่ และเครื่องยิงลูกระเบิด เมื่อปี 2522 ดำเนินการผลิตให้กับ กองทัพอากาศ กองทัพเรือ และกรมการปกครอง นําไปใช้ในราชการแล้ว ต่อมา ทบ. ได้ยอมรับให้ เป็นอาวุธมาตรฐานนําไปใช้ในราชการ ทบ. ได้ เมื่อ ก.พ.2523 จึงนับได้ว่าการวิจัยและพัฒนา ค.60 มม.และ 81 มม. ได้ผลสำเร็จเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งใช้เวลา 2 ปี 9 เดือน ประโยชน์ที่ได้รับจากผลงานนี้ทำให้ กองทัพบกมี ค.60 มม. และ ค.81 มม. เข้าประจําการได้รวดเร็ว เพราะสามารถผลิตได้ภายในประเทศและมีราคาถูกกว่าการจัดซื้อจากต่างประเทศมาก ทำให้ประหยัดงบประมาณของแผ่นดินได้เป็นจำนวนมาก

เมื่อปี 2523 ทบ. ยืนยันว่า ค.4.2 นิ้ว ซึ่งเป็น ค. ในอัตราของ ร้อย ค.หนัก กรม.ร. จะมีใช้จนถึงปี 2530 เท่านั้น ดังนั้น ทบ. จึงมีความจำเป็นต้องพิจารณาจัดหา ค. หนักมาทดแทน ได้เห็นว่า ศอว.ทบ. ประสบผลสำเร็จในการผลิต ค.60 มม. และ ค.81 มม. จนนำมาใช้ในราชการได้แล้ว จึงให้ ศอว.ทบ. (ซึ่งขณะนั้น พลเอก สัมผัส พาสนยงภิญโญ เป็นผู้บัญชาการ) เริ่มดำเนินการวิจัยพัฒนา ค.120 มม. เพื่อทดแทน ค.4.2 นิ้ว ของสหรัฐ จนกองทัพบกยอมรับเป็นอาวุธมาตรฐาน นำมาใช้ราชการได้สมบูรณ์ซึ่งใช้เวลา 3 ปี 6 เดือน ซึ่งขณะนี้ได้เข้าประจําการอยู่ในหน่วยต่างๆ ของกองทัพบก พลเอกสัมผัส พานสนภิญโญ ได้ศึกษางานทางเทคนิคในการสร้างอาวุธเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับโรงงานต้นแบบการวิจัยพัฒนาอาวุธของ ศอว.ทบ. มีอุปกรณ์การสร้างอาวุธมากยิ่งขึ้น มีขีดความสามารถเพียงพอที่จะเปิดการทดลองสร้างตัวต้นแบบรถเกราะแบบจู่โจมขึ้นได้ท่านจึงมีแนวความคิดที่จะวิจัยและพัฒนารถเกราะแบบจู่โจม COMMANDO SCOUT โดยหวังผลสำเร็จที่จะนําเข้าประจําการใน ทบ. ได้ในโอกาสหน้าตามความจําเป็นเมื่อ ทบ. ต้องการ หากไม่ลงมือศึกษาค้นคว้าทดลองเสียตั้งแต่บัดนี้ เมื่อถึงคราวจําเป็นในสถานการณ์คับขันของประเทศ ก็จะไม่สามารถทุ่มเทกําลังงานการผลิตขึ้นใช้ราชการได้ เพราะต้องเสียเวลาทดลองสร้างตัวต้นแบบอีกเป็นเวลานาน ท่านมีแนวความคิดว่าประโยชน์ของรถเกราะแบบจู่โจมนี้ จะนําไปใช้งาน ตามความจําเป็นทางด้านยุทธการสำหรับ เหล่า ร., ม., ป. ในภารกิจการลาดตระเวน การปราบปราม ผกค. การรักษาความสงบภายในประเทศ การปราบปรามจลาจล การปฏิบัติงานของ ผตน. และการควบคุมลำเสียงกระสุนปืนใหญ่เป็นต้น เพราะขนาดรถเกราะชนิดนี้ มีความคล่องแคล่วรวดเร็วและยังสามารถใช้ได้เกือบทุกภูมิประเทศของประเทศไทย ประกอบกับการมีเกราะซึ่งสามารถป้องกันกระสุนปืนเล็กได้ ย่อมทำให้ขวัญและกําลังใจของทหารดีขึ้น เมื่อสามารถสร้างได้เองภายในประเทศแล้ว นับว่าเป็นการประหยัดงบประมาณของชาติได้เป็นจำนวนมาก แทนการจัดซื้อจากต่างประเทศ และเป็นการสนองนโยบายการพึ่งตนเองของรัฐบาลอีกด้วย

 

การวิจัยพัฒนารถสายพานรบขนาด 15 ต้น

พลเอกสัมผัส พาสนยงภิญโญ ได้เรียนรู้กรรมวิธีในการสร้าง ยานยนต์เป็นอันมาก จึงมีแนวความคิดที่จะสร้างยานรบของทหารราบ เพื่อบรรทุกทหารเข้าทำการรบให้ถึงพื้นที่การรบ มี ป้อมปืนติดปืนกลขนาด 20 มม. หรือ ปก.93 จำนวน 2 กระบอก หรือติด ปตอ.40 มม. หรือจรวดต่อสู้รถถังหรืออาวุธชนิด อื่นๆ นอกจากบรรทุกทหารเข้าสู่พื้นที่การรบได้แล้ว ยังสามารถยิงสนับสนุนทหารเหล่าอื่นได้ด้วยตนเองอีกด้วย เป็นการ เพิ่มประสิทธิภาพการรบ ขวัญกําลังใจให้กับทหารด้วย แตกต่างกับ รสพ.เอ็ม 113 ซึ่งเกราะบางไม่มีป้อมปืน มุ่งหมาย บรรทุกทหารอย่างเดียวขณะนี้ชาติต่าง ๆ กําลังมุ่งสร้างยานรบที่เป็นยานรบทหารราบหรือยานรบทหารม้า ทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในยุโรป เพื่อใช้แทนรถสายพานลําเลียงพลชนิดต่างๆ และเมื่อสามารถสร้างได้เองภายในประเทศแล้ว นับว่าเป็นการประหยัดงบประมาณของชาติได้เป็นอย่างมาก แทนการจัดซื้อจากต่างประเทศ ท่านจึงได้ทดลองสร้างรถเกราะชนิดสายพาน และรถถังเบาขนาด 10 -15 ตัน ซึ่ง ทบ.ได้อนุมัติเปิดงานวิจัยพัฒนารถถังเบา ขนาด 10 – 15 ตัน เมื่อปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ และได้ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องมาตามลำดับ

 

การวิจัยพัฒนาปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้งขนาด 105 มม. ระยะยิงไกล 14.5 กม. แบบ M – 425

จากการที่ท่านได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนา ปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้งขนาด 105 มม. แบบ M 618 A 2 ได้สำเร็จเป็นอาวุธ มาตรฐานเข้าประจําการใน ทบ. ได้แล้ว ทำให้ได้ทราบข้อมูลทางเทคนิคต่าง ๆ ในการสร้างปืนใหญ่ได้เป็นอย่างดี ท่านคิดอยู่เสมอว่าการวิจัยและพัฒนาอาวุธแล้วย่อมไม่มีการหยุดอยู่กับที่ ต้องวิจัยและพัฒนาอาวุธให้มีความทันสมัยและมีคุณภาพดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ท่านจึงได้ขออนุมัติ ทบ. เปิดงานการวิจัยพัฒนาปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้ง ขนาด 105 มม. ระยะยิงไกล 14.5 กม. แบบ M 425 เมื่อ มิ.ย.2523 วัตถุประสงค์ของท่านที่วิจัยอาวุธชนิดนี้ก็เพื่อทดแทน ปบค.ขนาด 105 มม. แบบ M 101 A 1 แบบ M 102 ของสหรัฐ ฯ และแบบ M 618 A 2 ของ ศอว.ทบ. ซึ่งมีระยะยิงเพียง 10 กม. เท่านั้น และเพื่อติดตั้งบนรถสายพานเป็น SELF- PROPELLED ARTILLERY หรือปืนใหญ่อัตราจรขนาด 105 มม. ที่มีระยะยิงไกล 14.5 – 14.7 กม. และเคลื่อนที่ได้ด้วยตนเอง กองทัพบกอนุมัติหลักการให้ดำเนินการวิจัยพัฒนา เมื่อ มิ.ย. 23 และได้ดำเนินการทดลองยิงครั้งแรกเมื่อ ก.ย.2525 เป็นผลสำเร็จ เมื่อ 19 ม.ค.2526 ได้แสดงการยิงให้ ผบ.ทบ. ( พลเอกอาทิตย์ กําลังเอก ) และนายทหารผู้ใหญ่ชม ปรากฏว่าเป็นที่น่าพอใจของ ผบ.ทบ. ได้สั่งการให้ ศอว.ทบ. ดำเนินการสร้างเพื่อทดลองนําเข้าประจําการในปีงบประมาณ 2527 จำนวน 1 กองพัน (12 กระบอก) ปัจจุบันบรรจุอยู่ ป.พัน 1 รอ. และ ป.พัน.11 รอ.

จากผลงานในการวิจัย และพัฒนาของท่านนี้ ทำให้ท่านได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลาเข็มศิลปวิทยา และปริญญากิตติมศักดิ์ดุษฎีบัณฑิต สาขา วิศวกรรมเครื่องกล จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เมื่อปี 2523 ด้วยผลงานและคุณงามความดีที่ พลเอกสัมผัส พาสนยง ภิญโญ ได้สร้างไว้มากมาย ซึ่งได้สร้างประโยชน์ให้กับเหล่าทหารปืนใหญ่และประเทศชาติไว้เป็นอันมาก ครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ.2517 ในระหว่างที่ท่านดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ ท่านได้ของบประมาณในการสร้างกองบัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ใหม่ (ที่ตั้งปัจจุบัน) และได้ทำการปรับปรุงถนนหน้า กองบัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ไปยังสโมสรนายทหาร (สปพ.) ให้เรียบร้อยดียิ่งขึ้น และถนนเส้นนี้ยังได้ถูกใช้ในการประกอบพิธีสำคัญ ๆ ของศูนย์การทหารปืน ใหญ่ อาทิเช่น พิธีต้อนรับผู้บังคับบัญชาชั้นสูง พิธีเทิดเกียรตินายทหารเหล่าทหารปืนใหญ่ พิธีสวนสนามแสดงแสนยานุภาพ ของเหล่าทหารปืนใหญ่ และใช้งานอื่น ๆ อีกนานัปการมาตราบจนทุกวันนี้ พลตรีพิชัย ฉินนะโสต ผู้บัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ใน และบรรดากําลังพลเหล่าทหารปืนใหญ่ จึงได้พร้อมใจกันนําเอาชื่อสกุล ของท่านมาตั้งชื่อถนนเส้นนี้ เพื่อเป็นเกียรติประวัติ และอนุสรณ์แห่งคุณงามความดีของท่าน โดยตั้งชื่อว่า “ถนนพาสนยงภิญโญ” เมื่อ 3 เมษายน พ.ศ.2557